การเลือกใช้สายพานลำเลียง

การเลือกใช้สายพานลำเลียง Smart Conveyor / Assembly Lines

  1. ความทนทานต่อแรงเฉือน (Tear strength)

ระหว่างการใช้งาน ชั้นของสายพานแต่ละชั้นจะรับแงในการขับเคลื่อนสายพานในปริมาณที่แตกต่างกัน เมื่อสายพานผ่านพู่เลย์ ยางผิวด้นล่างจะเกิดแรงกด ส่วนยางผิวด้านบนจะถูกยืดออก และชั้นของสายท่านแต่ละชั้นก็รับแลง

ไม่ท่กัน ระหว่างชั้นวัสดุแต่ละชั้นของสายพาน จะมีแงเฉืนเกิดขึ้น แรงเขือนดังกล่าวจะกระทำกับแต่ละจุดของสายพานมีลักษณะเป็นรอบ ขาจทำให้กิดปัญหาแยกชั้นของสายพานได้หากแรงยึดของแต่ละชั้นไม่แข็งแรงพอ การ

ทดสอบผลิตภัณฑ์สายพานลำเลียงจึงต้องมีการทดสอบ สมบัติความทนทานต่อแรงเอนของสายพาน เกี่ยวกับการยึดติดระหว่างชั้นสายพานแต่ละชั้น

  1. ความหนทานต่อการสิกหรอ (Abrasion Resistance)

สายพานจะเกิดการเสียดสีตลอดเวลาในระหว่างการใช้งาน โดยเฉพาะที่ผิวยางด้นบน ซึ่งเป็นส่วนที่ต้องสัมผัสกับวัสดุที่ต้องการจะลำเลียงวัสดุแต่ละชนิด จะทำให้เกิดการสึกหรอแตกต่างกัน จึงต้องมีการตรวจสอบทุกครั้งในการ

ผลิตสายพานลำเลียง

  1. ความทนทานต่อสภาพแวตล้อม (Environmental Resistance)

การใช้งานสายพนลำเลียงมีลักษณที่แตกงกันไป การใช้ในงนกลางแจ้ง ผิวของสายพานที่ใช้จะต้องมีความทนทนต่อแสงยูวี (UV)กซิเจน และโอโซน ซึ่งจะเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาให้สายพานเสื่อมสภาพเร็วมากขึ้น การใช้งาน

ที่ต้องสัผักับสารเคมี เช่น น้ำมัน, กดหรือด่าง, เป็นตั้น ผิวของสายพานก็ควรมีสมบัติที่สามารถทนทานต่อสารเคมีเหล่านั้นได้

  1. ความหนหานต่อความร้อน (Heat Resistance)

สายพานที่ผ่านพู่เลย์จะเกิดการผิดรูปที่มีลักษณะเป็นคาบ ซึ่งจะทำให้กิดความร้นสะสม (Heat Build Up) ขึ้ได้ โดยเฉพะสายพานที่ใช้แรดึงและเดินรอบสูง ๆ จะเกิดความร้อนขึ้นมาก ซึ่งอาจจะทำให้ยางเสื่อมสภาพเร็ว

กว่าที่ควรจะเป็นได้

ส่วนสมบัติอื่นที่ควรมีการคำนึงถึง คือ ความทนทานต่อแรตึง และความทนทานต่อความล้ำ ยางผิวสายพานต้องมีความทนทานต่อแรดึงพอสมควรเนื่องจาก จะต้องรับแรดึงที่ใช้ขับเคลื่อนสายพาน และต้องมีความทนทานต่อ

ความล้ำด้วย เนื่องจากการผิดรูปลักษณะเป็นรอบดังกล่าวข้างตั้น

ที่มา: http://engineerknowledge.blogspot.com